
ไหว้ครูโหราศาสตร์ พระฤษี คือ โหรโด่งดังมีชื่อเสียงที่สุด ผู้เป็นครูพวกพราหมณ์ซึ่งนับถือว่าเป็น ครูใหญ่ หรือพระอาจารย์ใหญ่แห่งโหราศาสตร์และต่อจากนั้นมากมี พระอัญญาโกณฑัญญมหาเถรพระอรหันต์องค์ที่๑ ของพระพุทธเจ้า พระอัญญาโกณฑัญญมหาเถรเป็นบุตรพราหมณ์เศรษฐี บ้านอยู่ตำบลโกณวัตถุใกล้เมืองกบิลพัสดุ์เกิดก่อนพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติใหม่ๆมีพราหมณ์ที่เป็นโหรมาเฝ้าทำนายถึงจำนวน๑๐๘ ท่าน แต่ถูกคัดเลือกเอาเฉพาะพราหมณ์ที่เป็นโหรทีเก่งที่สุดไว้เพียง๘ท่าน
มีพระอัญญาโกณฑัญญมหาเถรรวมอยู่ด้วย ขณะนั้นพระอัญญาโกณฑัญญมหาเถรมีอายุน้อยกว่าเขา เป็นคนหนุ่มที่สุดในจำนวนพราหมณ์ที่เป็นโหรทั้ง๘ท่านด้วยกัน และยังถูกกีดกันให้เข้าทำนายเป็นคนที่๘ทีลังสุดในบรรดาพราหมณ์ที่เป็นโหรนับ แต่คนที่๑-๗ ได้ทำนายพระพุทธเจ้าขณะประสูติใหม่ๆนั้นไว้เป็น๒อย่างทุกคน พอถึงพระอัญญาโกณฑัญญมหาเถร ซึ่งเห็นพระพุทธเจ้ามีมหาบุรุษลักษณะครบทั้ง๓๒ประการทูลว่า.....ขอทำนาย อย่างเดียวจะออกบวช และเป็นศาสดาเอกในโลกจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นแน่ พระอัญญาโกณฑัญญมหาเถรได้ทำนายพระพุทธเจ้าถูกต้องทุกข้อ ครั้งแรกออกบวชได้ประกาศพระศาสนาต่อมาจึงอยู่ป่าสันโดษมักน้อย
การไหว้ครูโหราศาสตร์ คือการปฎิบัติที่ระลึกถึงครูอาจารย์และระลึกถึงพระอาจารย์โหรทั้ง๕อันได้มา สู่ธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีดังนี้
๑.พระอัญญาโกณฑัญญมหาเถร
๒.พระวังคีสมหาเถร
๓.พระอุตตมรามหาเถร
๔.พระอุตตมมังคลาจารย์
คาถาไหว้ครู ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า เสฏฐันติ รัตตนัง โลเก อันทิตตะวา ปะการะนัง อิมัง เลขสมุทะยัง ยะถาพลัง
โหราศาสตร์คืออะไร โหราศาสตร์เป็นวิชาพยากรณ์ที่เนื่องมาจากอำนาจของดวงดาวพระเคราะห์ต่างๆที่ โคจรอยู่รอบจักรราศีเป็นวิชาที่มีหลักฐานและเหตุผล เป็นวิทยาการที่นับว่าทันสมัยอยู่ตลอดไป และเป็นวิชาที่คงทนถาวรตลอดการคู่ไปกับโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นเป็นเรื่องราวของวิชาที่เกี่ยวกับดวงดาวและโลกมนุษย์ กล่าวถึงอำนาจของดวงดาวที่มีต่อสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเป็นวิชาการทางนาม และรูปแสดงกาลเวลา ความส่องสว่าง ความรุ่งโรจน์ ความร้อน ความดึงดูด และพลังงานที่มีต่อพฤติกรรมของคนเรา วิชาโหราศาสตร์ จึงเป็นวิชาเกี่ยวกับศาสตร์อันลึกซึ้งและละเอียดอ่อนละมุนละไมเป็นศาสตร์ แขนงหนึ่ง และ อาจนับเนื่องอยู่ในไสยศาสตร์ เป็นวิชาที่ลึกลับอยู่คู่กับดาราศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาคำนวณ วิถีโคจร และขนาด น้ำหนัก ระยะ ฯลฯ ของดวงดาวในนภากาศ วิชานี้มีมาแต่โบราณสมัย. จักรวาล วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาพยากรณ์เหตุการณณ์ต่างๆ ต้องอาศัยดาวมาเป็นหลักสำคัญในการพยากรณ์ เพราะฉะนั้นการที่จะเรียนวิชานี้ให้เข้าใจได้ดีนั้น จึงควรที่จะได้เรียนรู้ถึงเรื่องของดวงดาว หรือที่เรียกกันทั่วๆไปว่า"ดาราศาสตร์" ให้มีความรู้ไว้พอเป็นพื้นฐานบ้าง ใน"จักรวาล"อันเป็นที่สถิตย์ของดวงดาวต่างๆนั้น ซึ่งทางดาราศาสตร์ได้จำแนกไว้มีมากมายหลายประเภทด้วยกัน
แต่ทางโหราศาสตร์ได้นำมาใช้เพียง ๒ ประเภทเท่านั้น คือ "ดาวพระเคราะห์"ประเภทหนึ่ง กับ "ดาวฤกษ์"อีกประทหนึ่ง
๑.ดาวพระเคราะห์ ๆได้แก่ดาวประเภทที่โคจรหมุนเวียนไปเรื่อยๆไม่หยยุดอยู่กับที่
๒.ดาวฤกษ์ ได้แก่ดาวที่อยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวไปไหนดาวเคราะห์ต่างๆที่นำมาใช้ในวิชา โหราศาสตร์ไทยนั้นมีอยู่ด้วยกัน๘ดวง คือ
อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ และมฤตยู
ภาวะแห่งการดำรงอยู่ดังกล่าว ของดาวพระเคราะห์กลุ่มนี้ จึงเรียกว่า"สุริยจักรวาล"
อันหมายถึงจักรวาลที่มีอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง หรือมีดาวอาทิตย์เป็นประธาน และมีดาวพระเคราะหฺอื่นๆเป็นบริวาร นำมาเรียงลำดับได้ ดังนี้ ๑.อาทิตย์ ๒.จันทร์ ๓.ศุกร์ ๔.โลกและจันทร์ ๕.อังคาร ๖.พฤหัส ๗.เสาร์ ๘.มฤตยู โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีพระจันทร์เป็นบริวาร โคจรหมุนเวียนอยู่รอบๆอีกต่อหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อโลกโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ พระจันทร์จึงโคจรหมุนเวียนติดโลกไปรอบๆดวงอาทิตย์ด้วย ทางดาราศาสตร์กล่าวว่า"อาทิตย์"อยู่กับที่โดยเป็นศูนยฺกลางของระบบสุริย จักรวาลส่วนดาวเคราะหฺอื่นๆรวมทั้งโลกที่เราอาศัยอยู่ด้วยนั้น ต่างก็เป็นฝ่ายโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น.
ในภาพจำลองของจักรวาล จะเห็นว่าใช้เลขแทนดาวเรียงลำดับกันไปตั้งแต่๑-๗ แล้วก็ข้ามไป๐เลยทำให้เกิดการสงสัยว่าทำไมไม่มีเลข๘กับเลข๙หรือว่าในวิชา โหราศาสตร์เขาไม่ใช้ ในวิชาโหราศาสตร์ใช้ แต่ในวิชาดาราศาสตร์นั้นเขาไม่ใช้ เลข ๘ใช้ แทนราหู เลข ๙ใช้ แทนเกตุ
ทั้ง ราหู๘ และเกตุ๙ต่างก็มิใช่ดวงดาวจึงไม่มีตัวตนเป็นเพียงจุดอิทธิพลในด้านการ พยากรณ์ทางโหราศาสตร์เท่านั้น. ราหู (๘) เป็นจุดคราสอันได้แก้เงาดำที่มีบทบาทโคจรอยู่ในระบบการโคจรของดาวพระเคราะห์ ด้วยทางดาราศาสตร์เรียกราหู(๘)เป็นจดคราส ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนในคราวที่เกิดสุริยุปราคา หรือจันทรุปราคา. เกตุ(๙) เป็จุดอิทธิพลในการสแดงเหตุการณ์จุดหนึ่งในดวงชะตา ซึ่งโหราจารย์ไทยได้ค้นพบ และกำหนดหลักคำนวณเอาไว้"เกตุไไทยนี้ทีใช้อยู่ในวงการโหรไทยเท่านั้น. ดาวพระเคราะห์ทั้งหลายต่างก็โคจรโดย"อุตราวรรค"คือเวียนซ้ายแต่ราหูปละเกตุ โคจรโดย"ทักษิณาวรรค"โจจรเวียนขวาโดยสวยทางกับดาวพระเคราะห์ทั้งหลาย จักวาลที่ได้ถกแบ่งเป็น๑๒ราศีนี้ รวมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วเรียกว่า"จักรราศี" หรือราศีจักร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น